28 มีนาคม 2024
Latest:
update newsข่าวเกษตรข่าวเด่นเศรษฐกิจ

นักวิจัยอิสระอัดเละหน่วยงานภาครัฐไม่มีความรู้เรื่องรังนกทำให้การบริหารจัดการแย่ที่สุด ด้าน “นิพิฏฐ์”เปรยเปรียบเทียบ “ แมวสีไหนก็ได้ขอให้จับหนูได้ “

***พัทลุง…ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่คณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดพัทลุง เป็นเวลา 5 ปี หลังจากสัญญาการสัมปทานรังนกจะหมดลงในวันที่ 14 มิ.ย.64 แต่หลังจากที่เปิดขายซองเอกสารการประมูลไป 4 ครั้ง ในราคา 500 ล้านบาทและราคา 450 ล้านบาทตามลำดับ การขายซองเอกสารในครั้งที่ 4 ในระหว่างวันที่ 8 – 21 มิ.ย.64 และกำหนดการยื่นซองในวันที่ 22 มิ.ย.64 นั้น

***เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผวจ.พัทลุง ในฐานะประธานกรรมการฯ ประธานประชุมเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.เพื่อสร้างการรับรู้  แสดงความคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่างๆ  ในการบิหารจัดการและการสัมปทานเงินอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดพัทลุง  โดยมี  ดร.พลกฤษณ์  คล้ายวิตภัทร  ผู้ช่วยอธิการบดี  ฝ่ายวิชาการและชุมชนสัมพันธ์   มหาวิทยาลัยทักษิณ  วิทยาเขตพัทลุง  เป็นวิทยากรเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นและขอเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว มีตัวแทนภาครัฐ  เอกชน  องค์กรชุมชน  สื่อมวลชน ฯลฯ เข้าร่วมกิจกรรมประมาณ  80 คน  ที่ประชุมเปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย

***นายเกษม  จันทร์ดำ  นักวิจัยอิสระ สำนักงานวิจัยแห่งชาติ  กล่าวว่า  ปัญหารังนกของประเทศไทยที่เกิดขึ้นในขณะนี้สาเหตุสำคัญมาจากหน่วยงานภาครัฐไม่มีความรู้เรื่องรังนก  จนทำให้ประเทศไทยมีการบริหาจัดการรังนกที่แย่ที่สุดในโลก  จึงเห็นสมควรให้ไปดูการบริหารจัดการในประเทศเวียดนาม  เพื่อจะได้นำความรู้  ประสบการณ์มาแก้ปัญหารังนกในประเทศไทยให้ดีขึ้นกว่าเดิม

***สำหรับประเทศจีนนั้นมีความต้องการรังนกประมาณ  3,000  ตัน/ปี  โดยไม่สนใจว่าจะเป็นรังนกถ้ำหรือรังนกบ้าน ประเทศไทยมีผลผลิตรังนกจากถ้ำจาก  9  จังหวัด ประมาณ  60 ตัน/ปี  ส่วนรังนกบ้านมีประมาณ 150 ตัน/ปี   ในส่วนของประเทศไทยนั้นเคยเป็นผู้ส่งรังนกออกจำหน่ายเป็นอันดับ  2  ของโลก  แต่ในขณะนี้อันดับ  2  กลับเป็นมาเลเซียที่ส่งออกรังนกปีละ 400 – 500 ตัน/ปี  ส่วนไทยมาเป็นอันดับ 3  ที่ส่งออกรังนกประมาณ  250  ตัน/ปี  โดยมีประเทศอินโดนีเซียส่งออกรังนกเป็นอันดับ 1 ของโลกที่ประมาณ  2,000  ตัน/ปี

***อย่างไรก็ตามยังมีการส่งรังนกที่ผิดกฎหมายไปยังประเทศจีนประมาณ  400 ตัน/ปี  ในส่วนของรังนกจากประเทศไทยนั้นเป็นรังนกที่แพงที่สุดของโลก  ซึ่งในขณะนี้ปริมาณรังนกของจังหวัดต่างๆทั้ง  9  จังหวัดได้ลกลงย่างต่อเนื่องแต่รังนกของจังหวัดพัทลุงกลับเพิ่มขึ้น  แต่ก็มีปัญหาการสัมปทานรังนกจนนำไปสู่การส่งรังนกออกไปยังประเทศจีนได้น้อยเพียงประมาณ  0.3  ตัน/ปีเท่านั้น  ตนจึงสงสัยว่ารังนกของประเทศไทยหายไปไหน  ในส่วนของการแก้ไข  พรบ.รังนกฯนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก

***ทางด้านนายนิพิฏฐ์  อินทรสมบัติ  อดีตรองหัวหน้าพรรค ปชป. เผยว่า  ตนเคยเข้าไปแทรกแซงการสัมปทานรังนกเมื่อครั้งที่ผ่านมา  จนทำให้ราคาสัมปทานพุ่งสูงขึ้นถึง  450  ล้านบาท อยากเห็นทุกฝ่ายได้นำความรู้เรื่องรังนกมาเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนการสัมปทานรังนก  อย่าให้ความสำคัญของราคากลางจนเกินไป  การสัมปทานรังนกฯในวิธีไหนก็ได้ที่ให้การสัมปทานรังนกฯสำเร็จลุล่วงโดยเร็วที่สุด โดยเปรียบ “ จะเลี้ยงแมวสีไหนก็ได้แต่ขอให้จับหนูเป็น “และขอให้ชาวพัทลุงทุกฝ่ายมาร่วมแก้ปัญหากับนายกู้เกียรติฯ ผวจ.พัทลุง  เพื่อให้การสัมปทานรังนกสำเร็จเร็วที่สุด  ซึ่งหากการสัมปทานล่าช้าจะส่งผลให้จังหวัด  และประชาชน  ได้รับความเสียหาย

***ด้านนายวิสุทธิ์  ธรรมเพชร  นายก  อบจ.พัทลุง กล่าวว่า  อบจ.พัทลุงยังขอยืนราคากลางไว้ที่  450  ล้านบาท  ส่วนการประมูลรังนกฯนั้นจะใช้วิธีไหนก็ได้  การยืนราคากลางดังกล่าวมิได้กระทำเพื่อคนใดคนหนึ่งแต่ทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของท้องถิ่นและพี่น้องประชาชนชาวพัทลุง  และยังมั่นใจว่าหากการสัญญาการสัมปทานรังนกสิ้นสุดในเดือน  พฤศจิกายน  ก็จะเป็นส่วนสำคัญที่จะสามารถแก้ไขปัญหาการลักรังนกได้เพื่อ

***อย่างไรก็ตามหลายๆฝ่ายได้ออกมาชื่นชมต่อทางจังหวัด  อบจ.พัทลุง  ที่ได้ร่วมกันจัดการประชุมเพื่อสร้างการรับรู้  แสดงความคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่างๆ  ในการบิหารจัดการและการสัมปทานรังนกฯ ในครั้งนี้  เนื่องจากเป็นการจัดประชุมครั้งประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยดำเนินการมาก่อน   แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเงินจากการสัมปทานรังนกฯใน  3  ครั้งที่ผ่านมา  ซึ่งเป็นเงินประมาณ  1,659  ล้านบาทนั้นกลับกลายเป็นเงินหัวแตก  ชิ้นงานของเงินรังนกฯไม่โดดเด่นและเป็นรูปธรรม  ซึ่งในการจัดประชุมในครั้งนี้หลายฝ่ายยังเห็นว่าราคากลาง  450  ล้านบาทโดยตัดสัญญาแนบท้ายออกไปนั้นเป็นราคากลางที่เหมาะสมแล้ว  ข่าวคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป