นักวิจัยอิสระอัดเละหน่วยงานภาครัฐไม่มีความรู้เรื่องรังนกทำให้การบริหารจัดการแย่ที่สุด ด้าน “นิพิฏฐ์”เปรยเปรียบเทียบ “ แมวสีไหนก็ได้ขอให้จับหนูได้ “
***พัทลุง…ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่คณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดพัทลุง เป็นเวลา 5 ปี หลังจากสัญญาการสัมปทานรังนกจะหมดลงในวันที่ 14 มิ.ย.64 แต่หลังจากที่เปิดขายซองเอกสารการประมูลไป 4 ครั้ง ในราคา 500 ล้านบาทและราคา 450 ล้านบาทตามลำดับ การขายซองเอกสารในครั้งที่ 4 ในระหว่างวันที่ 8 – 21 มิ.ย.64 และกำหนดการยื่นซองในวันที่ 22 มิ.ย.64 นั้น
***เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผวจ.พัทลุง ในฐานะประธานกรรมการฯ ประธานประชุมเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.เพื่อสร้างการรับรู้ แสดงความคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่างๆ ในการบิหารจัดการและการสัมปทานเงินอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดพัทลุง โดยมี ดร.พลกฤษณ์ คล้ายวิตภัทร ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายวิชาการและชุมชนสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง เป็นวิทยากรเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นและขอเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว มีตัวแทนภาครัฐ เอกชน องค์กรชุมชน สื่อมวลชน ฯลฯ เข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 80 คน ที่ประชุมเปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย
***นายเกษม จันทร์ดำ นักวิจัยอิสระ สำนักงานวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า ปัญหารังนกของประเทศไทยที่เกิดขึ้นในขณะนี้สาเหตุสำคัญมาจากหน่วยงานภาครัฐไม่มีความรู้เรื่องรังนก จนทำให้ประเทศไทยมีการบริหาจัดการรังนกที่แย่ที่สุดในโลก จึงเห็นสมควรให้ไปดูการบริหารจัดการในประเทศเวียดนาม เพื่อจะได้นำความรู้ ประสบการณ์มาแก้ปัญหารังนกในประเทศไทยให้ดีขึ้นกว่าเดิม
***สำหรับประเทศจีนนั้นมีความต้องการรังนกประมาณ 3,000 ตัน/ปี โดยไม่สนใจว่าจะเป็นรังนกถ้ำหรือรังนกบ้าน ประเทศไทยมีผลผลิตรังนกจากถ้ำจาก 9 จังหวัด ประมาณ 60 ตัน/ปี ส่วนรังนกบ้านมีประมาณ 150 ตัน/ปี ในส่วนของประเทศไทยนั้นเคยเป็นผู้ส่งรังนกออกจำหน่ายเป็นอันดับ 2 ของโลก แต่ในขณะนี้อันดับ 2 กลับเป็นมาเลเซียที่ส่งออกรังนกปีละ 400 – 500 ตัน/ปี ส่วนไทยมาเป็นอันดับ 3 ที่ส่งออกรังนกประมาณ 250 ตัน/ปี โดยมีประเทศอินโดนีเซียส่งออกรังนกเป็นอันดับ 1 ของโลกที่ประมาณ 2,000 ตัน/ปี
***อย่างไรก็ตามยังมีการส่งรังนกที่ผิดกฎหมายไปยังประเทศจีนประมาณ 400 ตัน/ปี ในส่วนของรังนกจากประเทศไทยนั้นเป็นรังนกที่แพงที่สุดของโลก ซึ่งในขณะนี้ปริมาณรังนกของจังหวัดต่างๆทั้ง 9 จังหวัดได้ลกลงย่างต่อเนื่องแต่รังนกของจังหวัดพัทลุงกลับเพิ่มขึ้น แต่ก็มีปัญหาการสัมปทานรังนกจนนำไปสู่การส่งรังนกออกไปยังประเทศจีนได้น้อยเพียงประมาณ 0.3 ตัน/ปีเท่านั้น ตนจึงสงสัยว่ารังนกของประเทศไทยหายไปไหน ในส่วนของการแก้ไข พรบ.รังนกฯนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก
***ทางด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรองหัวหน้าพรรค ปชป. เผยว่า ตนเคยเข้าไปแทรกแซงการสัมปทานรังนกเมื่อครั้งที่ผ่านมา จนทำให้ราคาสัมปทานพุ่งสูงขึ้นถึง 450 ล้านบาท อยากเห็นทุกฝ่ายได้นำความรู้เรื่องรังนกมาเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนการสัมปทานรังนก อย่าให้ความสำคัญของราคากลางจนเกินไป การสัมปทานรังนกฯในวิธีไหนก็ได้ที่ให้การสัมปทานรังนกฯสำเร็จลุล่วงโดยเร็วที่สุด โดยเปรียบ “ จะเลี้ยงแมวสีไหนก็ได้แต่ขอให้จับหนูเป็น “และขอให้ชาวพัทลุงทุกฝ่ายมาร่วมแก้ปัญหากับนายกู้เกียรติฯ ผวจ.พัทลุง เพื่อให้การสัมปทานรังนกสำเร็จเร็วที่สุด ซึ่งหากการสัมปทานล่าช้าจะส่งผลให้จังหวัด และประชาชน ได้รับความเสียหาย
***ด้านนายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร นายก อบจ.พัทลุง กล่าวว่า อบจ.พัทลุงยังขอยืนราคากลางไว้ที่ 450 ล้านบาท ส่วนการประมูลรังนกฯนั้นจะใช้วิธีไหนก็ได้ การยืนราคากลางดังกล่าวมิได้กระทำเพื่อคนใดคนหนึ่งแต่ทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของท้องถิ่นและพี่น้องประชาชนชาวพัทลุง และยังมั่นใจว่าหากการสัญญาการสัมปทานรังนกสิ้นสุดในเดือน พฤศจิกายน ก็จะเป็นส่วนสำคัญที่จะสามารถแก้ไขปัญหาการลักรังนกได้เพื่อ
***อย่างไรก็ตามหลายๆฝ่ายได้ออกมาชื่นชมต่อทางจังหวัด อบจ.พัทลุง ที่ได้ร่วมกันจัดการประชุมเพื่อสร้างการรับรู้ แสดงความคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่างๆ ในการบิหารจัดการและการสัมปทานรังนกฯ ในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นการจัดประชุมครั้งประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยดำเนินการมาก่อน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเงินจากการสัมปทานรังนกฯใน 3 ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเงินประมาณ 1,659 ล้านบาทนั้นกลับกลายเป็นเงินหัวแตก ชิ้นงานของเงินรังนกฯไม่โดดเด่นและเป็นรูปธรรม ซึ่งในการจัดประชุมในครั้งนี้หลายฝ่ายยังเห็นว่าราคากลาง 450 ล้านบาทโดยตัดสัญญาแนบท้ายออกไปนั้นเป็นราคากลางที่เหมาะสมแล้ว ข่าวคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป