Uncategorizedข่าวเกษตรเศรษฐกิจ

ชาวบ้านในตำบลนาไคร้ อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอบคุณรัฐบาลพลิกผืนดินแห้งแล้งเป็นแหล่งอาหาร นำผลผลิตจำหน่าย สร้างรายได้เข้าครัวเรือนเดือนกว่า 20,000 บาท

*****กาฬสินธุ์..ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามบรรยากาศการประกอบอาชีพของประชาชน จ.กาฬสินธุ์ ในช่วงฤดูแล้ง  โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตใช้น้ำชลประทาน พบว่าที่บ้านกุดหว้า ต.นาไคร้ อ.กุฉินารายณ์  มีการรวมกลุ่มปลูกพืชผักหลายชนิด ประสบความสำเร็จ กระทั่งได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ จัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่ศรีสุพรรณ โดยเน้นไม่ใช้สารเคมี ได้ผลผลิตบริโภคในครัวเรือน และจำหน่ายในตลาดชุมชน รวมทั้งภายในโรงพยาบาลประจำอำเภอ สร้างรายได้เข้าครัวเรือนเดือนละกว่า 20,000 บาท

*****นายนารอง อุทรักษ์ อายุ 66 ปี อยู่บ้านเลขที่ 501 หมู่ 13 บ้านกุดหว้า ต.นาไคร้ อ.กุฉินารายณ์ กล่าวว่า ที่ดินทำกินเป็นที่ ส.ปก.จำนวน 23 ไร่ เดิมมีสภาพแห้งแล้ง ปลูกไม้ยูคาลิปตัส ไม่มีรายได้อื่นเสริม ต่อมาเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาล เพื่อการเกษตรด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งส่วนราชการใน จ.กาฬสินธุ์ ได้เข้าส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำ ตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำของรัฐบาล โดยมีพื้นที่รับบริการน้ำครอบคลุมพื้นที่ 760 ไร่ เกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย 74 ครัวเรือน

***** นายนารอง กล่าวอีกว่า พอมีแหล่งน้ำ ตนจึงได้ปรับเปลี่ยนการประกอบอาชีพใหม่ โดยตัดไม้ยูคาจำหน่าย จากนั้นทำการเกษตรกรรมเต็มรูปแบบ โดยปลูกพืชผักสวนครัวและพืชตามฤดูกาลเกือบทุกชนิด เพราะมีความเชื่อว่าเมื่อมีน้ำก็สามารถทำได้ทุกอย่าง ทั้งนี้ ได้รับองค์ความรู้จากสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.กาฬสินธุ์ และส่วนราชการสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งในส่วนของการใช้น้ำ การปรับปรุงคุณภาพดิน การบริหารจัดการในแปลงเกษตร โดยไม่ใช้สารเคมี จนกระทั่งประสบความสำเร็จในวันนี้ ซึ่งเป็นการปลูกเอง เก็บกินเอง และนำผลผลิตจำหน่ายในหมู่บ้าน ตลาดชุมชน และโรงพยาบาลประจำอำเภอทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ ปลูกเอง สร้างรายได้เดือนละประมาณ 20,000 บาท ที่สำคัญมีอาชีพ มีรายได้ยั่งยืน สำหรับตนภูมิใจจนน้ำตาไหล ที่สามารถเอาชนะภัยธรรมชาติที่แห้งแล้ง เป็นแหล่งอาหารและสร้างรายได้ดังกล่าว ซึ่งต้องขอขอบคุณรัฐบาลและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ที่ชุบชีวิตตนและเพื่อนเกษตรกรด้วยโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลดังกล่าว

***** ด้านนายจุฬา ศรีบุตรตะ ที่ปรึกษาลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่ศรีสุพรรณกล่าวว่า เดิมสภาพพื้นที่โซนนี้ในฤดูแล้งจะมีความแห้งแล้ง ไม่มีสามารถทำการเกษตรได้ เพราะอยู่นอกเขตชลประทาน และไม่มีแหล่งกักเก็บน้ำตามธรรมชาติ  จึงประสบภัยแล้งซ้ำซาก หลังจากที่รัฐบาลโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดโครงการโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลแก้ภัยแล้งด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงลงมา สามารถบรรเทาความเดือดร้อนในพื้นที่ ทำให้เกษตรกรมีรายได้ในช่วงฤดูแล้งและตลอดปี ภาพที่เกิดขึ้นในวันนี้จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า น้ำบาดาลสามารถพลิกผืนดินที่แห้งแล้ง เป็นพื้นที่สีเขียวด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ชาวบ้านมีอาชีพ มีรายได้ และเป็นแหล่งผลิตอาหารได้ตลอดปี

***** นายจุฬากล่าวอีกว่า ในช่วงเริ่มต้นที่พลิกผืนดินที่เคยแห้งแล้งเป็นแหล่งอาหารดังกล่าว จะเห็นว่าเกษตรกรกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่ศรีสุพรรณ มีการปลูกพืชผักสวนครัวที่หลากหลาย เช่น บวบ สลัด มะละกอ พริก มะเขือ ผักกาด ผักชี กะหล่ำปลีและอื่นๆ ต่อมาเพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดและเกิดรายได้เพิ่ม จึงได้นำต้นกระท่อมเข้ามาปลูกเสริมในแปลงพืชผักของเกษตรกรอีกด้วย โดยมีบริษัทเอกชนเข้ามาเป็นคู่ค้า ทำสัญญารับซื้อผลผลิต มีการประกันราคาที่ชัดเจน ซึ่งทางกลุ่มฯ เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรในอนาคต ซึ่งถือเป็นผลสำเร็จจากการได้รับน้ำจากโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาล เพื่อการเกษตรด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงดังกล่าว

ขณะที่นายอัครพงษ์ เขียวแจ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่าโครงการน้ำบาดาลด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงบ้านกุดหว้า ต.นาไคร้ อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ เป็นโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ เป็นหนึ่งในโครงการที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งเดินหน้าดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยทั่วประเทศ โดยเป็นโครงการบ่อน้ำบาดาลขนาดความจุ 120 ลบ.ม./ถัง จำนวน 4 ถัง ทำงานด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 5,120 วัตต์ จำนวน 4 ชุด ติดตั้งพร้อมเครื่องปั่นกระแสไฟฟ้าขนาด 10 กิโลวัตต์ จำนวน 4 เครื่อง ทำการขุดเจาะน้ำบาดาลลึกจากผิวดิน 80 เมตร สามารถสูบน้ำบาดาลขึ้นมาได้มากถึง 12 ลบ.ม./ชั่วโมง รวมแล้วสามารถผลิตปริมาณน้ำได้กว่า 2 แสน ลบ.ม./ปี มีระยะส่งน้ำได้ไกลถึง 3 กม. นำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ทางการเกษตรรอบโครงการกว่า 760 ไร่ ถือเป็นโครงการที่ทันสมัยและมีขนาดใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย