2 พฤษภาคม 2024
Latest:
update newsการศึกษาข่าวเด่นข่าวในประเทศ

แนะ”รัฐ” ควรลงทุนวิจัยและพัฒนา ไม่ต่ำกว่า 51,000 ล้านบาท/ปี เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายพาประเทศหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง

*****กรุงเทพฯ..ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยผลสำรวจค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของประเทศไทย ปี 2564 (รอบสำรวจปี 2565) ซึ่งเป็นช่วงที่ทั่วโลกยังคงเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้การสำรวจค่าใช้ด้านการวิจัยและพัฒนาเกิดการชะลอตัวลงเล็กน้อย พบว่า ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GERD/GDP) ของประเทศไทย อยู่ที่ร้อยละ 1.21 (จากเดิม 1.33) โดยมีค่าใช้จ่าย R&D ในภาพรวมอยู่ที่ 195,570 ล้านบาท (จากเดิม 208,010 ล้านบาท) มีอัตราเติบโตลดลงร้อยละ 5.98 เป็นค่าใช้จ่าย R&D ในภาคเอกชน 144,887 ล้านบาท (จากเดิม 141,706 ล้านบาท) และภาคอื่น ๆ (รัฐบาล อุดมศึกษา รัฐวิสาหกิจ และเอกชนไม่ค้ากำไร) 50,683 ล้านบาท (จากเดิม 66,304 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนภาคเอกชนต่อภาคอื่น ๆ อยู่ที่ร้อยละ 74 : 26 ซึ่งจะเห็นว่าการลงทุนด้าน R&D ในภาคเอกชนยังคงมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

*****ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ให้ความเห็นต่อผลสำรวจดังกล่าวว่า ปีนี้ตัวเลขค่าใช้จ่าย R&D ลดลง เหลือร้อยละ 1.21 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าควรจะเป็นร้อยละ 1.37 โดยมาจากการลงทุนภาครัฐบาลที่น้อยลง ส่วนภาคเอกชนยังเติบโตได้ดี “หากเรามองเป้าหมายการลงทุนวิจัยและพัฒนาเดิมที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 2 ต่อจีดีพี ภายในปี 2570 เพื่อให้ทัดเทียมกับประเทศพัฒนาแล้ว โดยคงเป้าหมายสัดส่วนการลงทุน ภาครัฐ : ภาคเอกชน เป็น 30 :70 และเพิ่มบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา เป็น 30 FTE ต่อประชากร 10,000 คน จากสถานการณ์การลงทุนในปัจจุบันที่ลดลงไม่เป็นไปตามเป้าหมาย สอวช. ประเมินว่า หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ ในปี 2570 สัดส่วนการลงทุน R&D ของไทยจะอยู่เพียงร้อยละ 1.67 ต่อจีดีพี เท่านั้น แต่หากจะรักษาเป้าหมายร้อยละ 2 ต่อจีดีพี รัฐจำเป็นต้องมีมาตรการผลักดันการลงทุนด้าน R&D เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้ โดยมีมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐเพื่อดึงดูดการลงทุนรวมด้าน R&D โดยต้องเพิ่มตัวเลขการลงทุนจากภาครัฐอีกประมาณ 305,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ 51,000 ล้านบาท และจะต้องรักษาระดับการลงทุนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สอวช. อยู่ระหว่างการผลักดันให้เกิดสำนักงานเร่งรัดการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันและการพัฒนาพื้นที่ (รวพ.) ซึ่งจะเป็นจุดหนึ่งที่จะช่วยให้การใช้จ่ายด้าน R&D ของภาครัฐเติบโตขึ้น รวมถึงยังส่งผลดีในทางเศรษฐกิจด้วย” ดร.กิติพงค์ กล่าว

*****ดร.กิติพงค์ กล่าวด้วยว่า การส่งเสริมการลงทุนของประเทศ ควรเน้นการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อให้เกิดการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา โดยไทยเรามีจุดเด่นที่สามารถสร้างโอกาสในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่สามารถช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการลงุทนวิจัยและพัฒนาได้ อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารแห่งอนาคต (Future Food) กำลังเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่น่าจับตา เพราะมีอัตราการการส่งออกเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอวช. คาดการณ์เป้าหมายไว้ว่า ภายใน 3 ปี จะเพิ่มการส่งออกของ Future Food ให้ได้ 260,000 ล้านบาท

*****นอกจากนี้ ในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในปี พ.ศ. 2570 คาดว่าจะมีการลงทุน R&D ในอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศที่เพิ่มขึ้น และประเทศไทยต้องการให้มีปริมาณการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 30% ภายในปี ค.ศ. 2030 อีกทั้งปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่นักลงทุนจีนและนักลงทุนจากประเทศอื่นที่ต้องการขยายฐานการผลิตไปในประเทศอื่นเพื่อลดความเสี่ยงด้านปัญหาการขาดแคลนของชิ้นส่วนจากห่วงโซ่มูลค่าโลกหรือจากปัญหาสงครามการค้าโลก ภาครัฐจึงถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการผลิตรถ EV ไทยให้ก้าวสู่การเป็นเบอร์หนึ่งของ ‘HUB ยานยนต์ไฟฟ้าแห่งภูมิภาคเอเชีย’ ส่วนในกลุ่มแอดวานซ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่ง สอวช. จะเน้นเข้าไปส่งเสริมการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง เพื่อตอบโจทย์การลงทุนและความต้องการของประเทศ เนื่องจากเรามีแพลตฟอร์มพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ ขณะเดียวกันเราได้ดำเนินโครงการ Higher Education Sandbox หรือ การจัดการศึกษาที่แตกต่างจากมาตรฐานการอุดมศึกษา เป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนแบบใหม่ รองรับอุตสาหกรรมใหม่

*****อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีบทบาทในการกระตุ้นการลงทุน R&D ในไทยได้คือ Climate Technology ที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีขั้นสูง สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (GHG Net Zero) การใช้ทรัพยากรตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) เทคโนโลยีสะอาด (Clean Tech) เพื่อดักจับคาร์บอน รวมทั้งการใช้และจัดเก็บ (Carbon Capture, Use & Storage) การจัดการขยะให้นำกลับใช้ใหม่ (Circular Waste Management) การจัดการขยะให้นำกลับใช้ใหม่ (Circular Waste Management) ฯลฯ เป็นต้น

*****ดร.กิติพงค์ ยังได้ให้ความสำคัญกับแนวทางการวางนโยบายของ สอวช. ที่จะช่วยตอบโจทย์การผลักดันให้การลงทุน R&D ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีนโยบายด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) เข้าไปช่วยขับเคลื่อน อาทิ นโยบายการพัฒนาผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม (Innovation-driven enterprises: IDE) 1,000 ล้านบาท 1,000 ราย ภายในปี 2570 ทั้งการพัฒนากำลังคน โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาความรู้ รวมถึงเครือข่ายการทำงาน ซึ่งหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนเพื่อไปถึงเป้าหมายได้ คือ การร่วมลงทุนของสถาบันอุดมศึกษาและสถาบันวิจัยของรัฐกับภาคเอกชนในรูปแบบของนิติบุคคลเพื่อร่วมลงทุน หรือ Holding Company หน่วยธุรกิจที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลแยกออกจากมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัยของรัฐเพื่อทำหน้าที่บริหารการลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมอย่างมืออาชีพ ซึ่ง สอวช. ได้เข้าไปจัดทำนโยบายสนับสนุนการจัดตั้งและดำเนินการ University Holding Company จัดทำแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาจัดตั้งและดำเนินการ University Holding Company คาดว่าจะเสร็จสิ้นเร็ว ๆ นี้

*****นอกจากนี้ ยังมีนโยบายด้าน E-Commercial & Innovation Park หรือ ECIP เป็นการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์หรือโรงงานต้นแบบในพื้นที่ เพื่อสนับสนุนการเจาะตลาด และการพัฒนาและผลิตสินค้าสำหรับการค้าขายภายในประเทศและการส่งออกครบวงจร ตลอดจนมาตรการ Thailand Plus Package ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการจ้างงานบุคลากรด้าน STEM 1.5 เท่า และสิทธิประโยชน์ทางภาษีในการส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรม 2.5 เท่า ในหลักสูตรที่ผ่านการรับรองของกระทรวง อว. ซึ่งล่าสุดผ่านการรับรองแล้วกว่า 400 หลักสูตร มีสถานประกอบการส่งบุคลากรเข้ารับการอบรมแล้วกว่า 450 แห่ง และมีผู้ผ่านการฝึกอบรมรวมกว่า 14,000 คน

*****ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวทิ้งท้ายถึง ข้อเสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่ ที่จะสามารถช่วยผลักดันให้ไทยเกิดการลงทุน R&D และนำไปสู่การพ้นจากประเทศกับดักรายได้ปานกลาง ผ่าน 4 ข้อเสนอ คือ 1. ภาครัฐต้องเพิ่มเม็ดเงินในการลงทุน R&D และรักษาระดับการลงทุนให้ไม่ลดจากเดิม ขณะเดียวกันควรส่งเสริมให้เกิดนโยบายที่จะช่วยรักษาการลงทุนด้าน R&D ของภาคเอกชนควบคู่กันไป 2. ส่งเสริมการสร้างกำลังคนให้เพียงพอที่จะทำเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อรองรับการลงทุนจากภาคเอกชน 3. ยกระดับการลงทุนในอุตสาหกรรมฐานความรู้ ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต และ 4. ขยายฐานผู้เล่นใหม่ ๆ ในภาคเศรษฐกิจ เช่น สตาร์ทอัพ และสปินออฟเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัย โดยมีกลไก University Holding Company เข้ามาส่งเสริม