2 พฤษภาคม 2024
Latest:
update newsข่าวเด่นข่าวในประเทศสาธารณสุข

อภัยภูเบศร ห่วงใยประชาชน หลังกรมอุตุฯ ประกาศเข้าสู่ฤดูหนาว แนะนำสมุนไพรใกล้ตัว ลดไข้ ระบบทางเดินหายใจมีปัญหา

*****ปราจีนบุรี..ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูหนาวตั้งแต่ 29 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรห่วงใยสุขภาพประชาชน ในภาวะที่สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในช่วงปลายฝนต้นหนาว อาจทำให้คนป่วยด้วยโรคไข้หวัดหรือปัญหาระบบทางเดินหายใจ จึงได้นำเสนอสมุนไพรแก้หนาวมาฝาก ทั้งนี้ภญ.อาสาฬา เชาวน์เจริญ เภสัชกรชำนาญการ ให้ข้อมูลว่า สมุนไพรที่สร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ ใบกะเพรา กระชาย เป็นสมุนไพรที่มีรสร้อน ช่วยไล่ธาตุน้ำที่กำเริบ ไล่หวัด เพิ่มความอบอุ่นร่างกาย สามารถกินเป็นรูปแบบของอาหารในชีวิตประจำวัน

*****เริ่มจาก สูตรสมุนไพรที่มีขิงเป็นส่วนประกอบสำคัญ มีรสเผ็ดอุ่น ฤทธิ์แก้หวัดเย็น ขับเหงื่อ บำรุงกระเพาะ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ลดระดับไขมันในเลือด ขิงสด ช่วยทำให้ร่างกายปรับสภาพในภาวะที่ร่างกายมีอาการเย็นได้ เช่นเดียวกับขิงแห้ง ที่ช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียน มีการทดลองพบว่า น้ำขิงที่ได้จากการต้ม 30 นาที ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิดแมคโครฟาจ มีหน้าที่ในการจับกินเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ดี โดยช่วยลดอาการคัดจมูก ทางแผนไทยเป็นยาฤทธิ์ร้อน ช่วยลดน้ำมูกให้แห้งลงได้ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณค่าภูมิปัญญาเก่าแก่ในการใช้ประโยชน์จากขิง หากมีอาการของหวัดภูมิแพ้อากาศ แนะนำให้ดื่มน้ำขิงวันละแก้ว แต่ต้องระวังการดื่มน้ำขิงในปริมาณมากๆ เพราะอาจทำให้ร้อนในได้

*****อีกตัวคือ สูตรสมุนไพรที่มีกะเพราเป็นส่วนประกอบสำคัญ ใบมีกลิ่นหอมฉุน เผ็ดร้อน มีฤทธิ์ต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยมีผลยับยั้งเอนไซม์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ ทั้งยังช่วยแก้จุกเสียด แก้ปวดท้อง แก้อาการคลื่นไส้ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงธาตุ ขับลม แนะนำให้กินแบบชา วันละ 4-6 ใบ แช่น้ำร้อน 5-10 นาที ดื่มเพิ่มความอุ่นของร่างกาย และสมุนไพรที่คุ้นเคยอีกชนิด คือ สูตรสมุนไพรที่มีตะไคร้เป็นส่วนประกอบสำคัญ มีกลิ่นหอม ใช้ทั้งต้น เป็นยาแก้โรคในท้อง ใช้รักษาไข้หวัดใหญ่ แก้ปวดหัว ปวดท้อง เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกันได้ดี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ แก้อักเสบ และต้านไวรัสไข้หวัดได้ สามารถกินในรูปแบบน้ำตะไคร้ หรือชาตะไคร้ ประมาณ 3-4 ต้น โดยทุบให้แตก ต้มกับน้ำเปล่า 1 ลิตร ให้เดือด ประมาณ 15 นาที จากนั้นรินน้ำดื่ม จิบบ่อยๆ หรืออาจใส่ใบเตยเพิ่มความหอม ช่วยเพิ่มความอบอุ่น และยังช่วยแก้อาการน้ำมูกไหลจากหวัดได้ด้วย

*****ส่วนถ้าเข้าตำรับยา ภญ.อาสาฬา กล่าวว่า สมุนไพรที่นำมาใช้คือ ตำรับยาปราบชมพูทวีป เป็นตำรับยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ประกอบด้วยตัวยา 23 ชนิด ส่วนใหญ่มีรสร้อน ช่วยกระจายลม ลดการกำเริบของธาตุน้ำ กระตุ้นการทำงานของไฟธาตุ เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นหวัดในระยะแรก อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล แต่ไม่มีไข้ และอาการที่เกิดจากการแพ้ภูมิแพ้อากาศ ยกเว้นภูมิแพ้ที่แสดงออกทางผิวหนัง หากมีไข้อาจต้องมีการจ่ายยาสมุนไพรแก้ไข้ร่วมด้วย ทั้งนี้ มีงานวิจัยศึกษาผลการใช้ยาปราบชมพูทวีป ในการรักษาผู้ป่วยโรคหวัดภูมิแพ้ โดยให้ผู้ป่วยรับประทานยาปราบชมพูทวีปแคปซูล บรรจุแคปซูลละ 500 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ติดตามผลการรักษาจากแบบบันทึกอาการของผู้ป่วยในแต่ละวัน เปรียบเทียบผลก่อนและหลังรับประทานยา พบว่าการรับประทานยาปราบชมพูทวีปวันละ 4,000 มิลลิกรัม เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ สามารถลดอาการหวัดภูมิแพ้ได้

*****อย่างไรก็ตาม ภญ.อาสาฬา ย้ำว่า สมุนไพรทุกชนิดก็มีมีข้อห้ามใช้ ตำรับยาปราบชมพูทวีปก็เช่นกัน ที่ห้ามใช้กับผู้ที่มีอาการไข้ตัวร้อนสูง มีอาการเจ็บบริเวณไซนัส ไข้สูง น้ำมูก และเสมหะเขียว หญิงตั้งครรภ์ และเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 12 ปี ควรระวังการใช้กับผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ กระเพาะ กรดไหลย้อน เนื่องจากเป็นตำรับยารสร้อน ผู้ที่มีความผิดปกติของตับและไต“ การดูแลสุขภาพในช่วงเปลี่ยนผ่านฤดู ควรดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เลี่ยงความเครียด และพยายามดูแลร่างกายให้อบอุ่น จะช่วยให้ห่างไกลจากการป่วยและพร้อมรับมือกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้” ภญ.อาสาฬา กล่าว